ในโลกของทาสแมว ไม่มีอะไรจะน่ากังวลไปกว่าการเห็นเจ้านายสี่ขาของเราไม่สบาย แต่มีโรคหนึ่งที่น่ากลัวกว่านั้น คือโรคที่จะไม่ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า จนกระทั่งถึงวันที่อาการรุนแรงโรคนั้นคือ “โรคหัวใจในแมว” โรคหัวใจแมวไม่ใช่เรื่องไกลตัว และการ “รู้เร็ว” คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยยืดอายุขัยและรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีของพวกเขาไว้ได้นานที่สุด

ทำไมโรคหัวใจแมวถึงถูกเรียกว่า “ภัยเงียบ”?
แมวต่างจากสุนัขที่มักจะแสดงอาการไอเมื่อเป็นโรคหัวใจ แมวมักจะเก็บอาการเก่ง โดยพวกเขาสามารถปรับตัวให้เข้ากับข้อจำกัดของร่างกายได้ แมวที่เป็น โรคหัวใจ ในระยะเริ่มต้นอาจจะแค่ “แอคทีฟน้อยลง” ซึ่งเจ้าของส่วนใหญ่มักจะคิดว่า “สงสัยน้องแก่ขึ้น” หรือ “แค่นิสัยขี้เกียจ” เท่านั้นเอง นี่คือความน่ากลัวที่สุดของโรคนี้ครับ กว่าจะแสดงอาการชัดเจนก็มักจะเข้าสู่ระยะที่รุนแรงแล้ว
รู้จัก “โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติ”
ถ้าจะพูดถึงโรคหัวใจในแมว เราคงหนีไม่พ้นโรคที่พบเจอได้บ่อยที่ชื่อว่า Hypertrophic Cardiomyopathy หรือ HCM
- ความผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้น้อยลง เลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่พอ ทำให้น้องแมวแสดงอาการเหนื่อยง่าย
- เลือดคั่ง เมื่อปั๊มเลือดออกไปได้ไม่ดี ก็เกิดภาวะเลือดคั่งในหัวใจห้องบนและอาจย้อนกลับไปที่ปอด ทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอดได้
- เสี่ยงลิ่มเลือดอุดตัน การไหลเวียนเลือดที่ไม่ดีในห้องหัวใจที่ขยายใหญ่ขึ้น สามารถเหนี่ยวนำให้เกิดลิ่มเลือดได้ง่าย และลิ่มเลือดนี้เองที่พร้อมจะหลุดไปอุดตันตามเส้นเลือดต่างๆ โดยเฉพาะเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงขาหลัง ทำให้เกิดอัมพาตเฉียบพลันซึ่งนับเป็นภาวะฉุกเฉินตามมาได้
สัญญาณเตือนที่ทาสแมวต้องจับตา (ห้ามมองข้ามเด็ดขาด!)
แม้จะเป็นโรคที่สังเกตอาการได้ยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสัญญาณเตือนเลย ลองสังเกตพฤติกรรมของน้องแมวตามนี้
- หายใจเร็วและแรง ขณะพักนอนหลับหรือนั่งนิ่งๆ แมวปกติจะหายใจไม่เกิน 30-35 ครั้งต่อนาที หากคุณเห็นน้องแมวหายใจเร็วกว่านี้ ท้องกระเพื่อมแรงตลอดเวลา นี่คือสัญญาณอันตรายอันดับแรก
- อ้าปากหายใจ หรือ หอบ แมวไม่ใช่สุนัข การอ้าปากหายใจหรือหอบเป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง ต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที
- เหนื่อยง่ายผิดปกติ จากที่เคยวิ่งเล่นไล่จับของเล่นได้นานๆ กลับเล่นได้แป๊บเดียวแล้วก็นั่งแหมะ นอนหมอบ
- ซึม เบื่ออาหาร เป็นอาการพื้นฐานของความไม่สบายตัวในหลายๆ โรค
- เป็นลม หมดสติ เกิดขึ้นได้เมื่อเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
- อัมพาตขาหลังเฉียบพลัน น้องแมวจะร้องด้วยความเจ็บปวด ลากขาหลัง หรือขาหลังเย็นและไม่มีความรู้สึก นี่คือภาวะฉุกเฉินที่เกิดจากลิ่มเลือดอุดตัน (Saddle Thrombus) ต้องรีบหาหมอทันที
การวินิจฉัยที่ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
เมื่อสงสัย คุณหมอจะทำการตรวจวินิจฉัยซึ่งโดยทั่วไปจะมีขั้นตอนดังนี้ครับ
- การฟังเสียงหัวใจ เป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้น อาจได้ยินเสียงหัวใจที่ผิดปกติ (Murmur) หรือเสียงการควบของม้า (Gallop sound)
- การเอ็กซเรย์ช่องอก (X-ray) เพื่อดูขนาดของหัวใจโดยรวม และที่สำคัญคือตรวจดูภาวะ “น้ำท่วมปอด”
- การอัลตราซาวด์หัวใจ (Echocardiogram) ในการวินิจฉัยโรคหัวใจเลยครับ เพราะจะทำให้เห็นโครงสร้างหัวใจทั้งหมด วัดความหนาของผนังหัวใจ ดูการบีบตัว และการไหลเวียนของเลือดได้อย่างแม่นยำ

แนวทางการรักษา จากปัจจุบันสู่อนาคตและความหวังใหม่
- การรักษาตามมาตรฐานปัจจุบัน เป้าหมายหลักคือการควบคุมอาการ ชะลอความรุนแรงของโรค และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้น้องแมว โดยจะใช้ยาเป็นหลัก เช่น
- ยาขับน้ำ (เพื่อลดภาวะน้ำท่วมปอด)
- ยาชะลอการเต้นของหัวใจ (เพื่อให้หัวใจมีเวลาในการรับเลือดมากขึ้น)
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน)
การรักษาด้วยยาเป็นการรักษาตามอาการและประคับประคอง ซึ่งน้องแมวจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต
- ความหวังใหม่ “สเต็มเซลล์ (Stem Cells)” ทางเลือกเพื่อการฟื้นฟู
การใช้สเต็มเซลล์สำหรับการรักษาโรคความเสื่อมต่าง ๆ รวมถึงโรคหัวใจในสัตว์เลี้ยง
- สเต็มเซลล์ทำงานอย่างไรกับโรคหัวใจ?
- ลดการอักเสบ ลดการอักเสบที่ผนังกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กล้ามเนื้อหนาตัวขึ้น
- กระตุ้นการซ่อมแซม หลั่งสารที่ช่วยกระตุ้นให้เซลล์รอบๆ ซ่อมแซมตัวเอง
- ปรับภูมิคุ้มกัน ช่วยปรับสมดุลของร่างกายโดยรวม
- ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้คืออะไร?
- สดชื่นขึ้น กินอาหารได้มากขึ้น
- อัตราการหายใจขณะพักลดลง
- ลดความถี่ของการเกิดภาวะน้ำท่วมปอด
การรักษานี้ถือเป็นแพทย์ทางเลือกที่ทันสมัยและปลอดภัย เพราะส่วนใหญ่จะใช้สเต็มเซลล์จากไขมันของตัวสัตว์เอง ทำให้โอกาสเกิดการต่อต้านต่ำมาก
บทสรุปถึงเหล่าทาสแมวทุกท่าน
โรคหัวใจแมวเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิด อย่ารอให้แมวแสดงอาการ การตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะในแมวสายพันธุ์เสี่ยง (เช่น เมนคูน, แร็กดอลล์, สฟิงค์) และแมวสูงวัย (อายุ 7 ปีขึ้นไป) เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งหากตรวจพบ อย่าเพิ่งหมดหวัง เทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน ทั้งยาแผนปัจจุบันและการใช้สเต็มเซลล์เพื่อการฟื้นฟู สามารถช่วยให้น้องแมวของเรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและมีความสุขต่อไปได้














